วันที่ 16 สิงหาคม 2568
🔻 บันทึกเหตุการณ์พิพาทบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา
อีสานฮับ&IsanHub -ตามรายงานจากศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 ได้สรุปเหตุการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา ดังนี้:
🔺สถานการณ์โดยรวม ตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ(โดรน) ของฝ่ายตรงข้าม ในพื้นที่ชายแดน 37 ลำ พื้นที่ตอนใน 13 ลำ และตรวจพบการอพยพของประชาชนกัมพูชาพื้นที่ อ.จอมกระสาน จ.พระวิหาร อีกทั้งยังตรวจพบแสงอินฟาเรด 10 จุด กำลังเคลื่อนที่จากหลังเขาพนมประสิทธิโส ขึ้นไปบนเขาห่างจากจุดตรวจ ประมาณ 1-2 กม. คาดว่ามีการเพิ่มกำลัง
ฝ่ายไทยยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในเขตอธิปไตยของไทย มีการเตรียมพร้อมและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยยึดมั่นตามข้อตกลงของการประชุม GBC ที่ผ่านมา
สำหรับการลงพื้นที่คณะเอกอัคราชทูต ผู้แทนคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคมด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ความตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
🔻เมื่อวันที่ 16 ส.ค.2568 ณ โรงเรียนภูมิซรอลวิทยา จ. ศรีสะเกษ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ และผู้แทนกองทัพไทยและกองทัพบก บรรยายสรุปแก่คณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน รัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ผู้แทนองค์กรระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ชี้แจงข้อเท็จจริงประเด็นการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลโดยกัมพูชาในดินแดนไทย รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับพลเรือนในพื้นที่จากการโจมตีของฝ่ายกัมพูชา
โอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เน้นย้ำท่าทีของไทยที่ยึดมั่นในหลักการสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาออตตาวา และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศพิจารณาทบทวนความช่วยเหลือที่ให้กัมพูชาในเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ขณะที่เรียกร้องให้กัมพูชาให้ความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร เสริมสร้างความร่วมมือเพื่อช่วยลดความตึงเครียดระหว่างกัน
การลงพื้นที่ในครั้งนี้ คณะฯ ได้ลงพื้นที่สังเกตการณ์ความเสียหายของบ้านเรือนประชาชนใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จากการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชา ซึ่งละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง พร้อมรับทราบการช่วยเหลือจากภาครัฐและภาคส่วนต่าง ๆ และและทราบถึงภารกิจเกี่ยวกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในสถานที่จริงของหน่วยปฏิบัติการทุ่นระเบิดด้านมนุษยธรรม และหน่วยทหารในพื้นที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชาลอบวางทุ่นระเบิดใหม่ในเขตไทย ทำให้ทหารบาดเจ็บ ทุพพลภาพ และส่งผลกระทบต่อประชาชนในระยะยาว
🔷 โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงบิดเบือนข้อเท็จจริงเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดโจมตีไทย โดยปฏิเสธหลักฐานที่ไทยนำเสนอและอ้างว่าเป็นการจัดฉากหรือระเบิดตกค้างจากสงครามในอดีต ซึ่งไม่ตรงกับความจริง กองทัพบกจึงจำเป็นต้องยืนยันหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่ากัมพูชาได้ใช้ทุ่นระเบิดโจมตีไทยจริง พร้อมชี้ประเด็นสำคัญดังนี้
🔹 1. รูปแบบการปฏิบัติทางยุทธวิธี – ทุกครั้งที่กัมพูชาวางกำลัง บริเวณด้านหน้าจะพบแนวทุ่นระเบิดเป็นแนวป้องกัน เช่น ช่องบก (16 ก.ค.) ช่องอานม้า (23 ก.ค.) ปราสาทตาควาย (28 ก.ค.) ฐานกฤษณา (9 ส.ค.) และปราสาทตาเมือนธม (12 ส.ค.) โดยกำลังพลไทยที่ประสบเหตุพบว่าในพื้นที่มักมีทุ่นระเบิด PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3–5 ลูก ทั้งที่ระเบิดแล้วและยังไม่ระเบิด ซึ่งถูกวางอย่างเป็นระบบ
🔹2. ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ – มีเพียงฝ่ายไทยและกัมพูชา แต่เหตุการณ์ทั้งหมด 5 ครั้ง มีเพียงฝ่ายไทยที่ได้รับผลกระทบ จึงไม่อาจเป็นไปได้ว่าไทยจะทำร้ายกำลังพลของตนเอง
🔹3. การตรวจพบเพิ่มเติมหลังหยุดยิง – การสถาปนาความมั่นคงโดยทหารช่างที่ภูมะเขือ (4 ส.ค.) พบการซุกซ่อนทุ่นระเบิด PMN-2 จำนวนมากในแนวกำลังเดิมของฝ่ายกัมพูชา
🔹4. หลักฐานจากสื่อสังคมออนไลน์ – พบภาพอินฟลูเอนเซอร์กัมพูชาที่ไปถ่ายทำคอนเทนต์บริเวณปราสาทตาควาย โดยมีพวงทุ่นระเบิด PMN-2 ปรากฏอยู่ในภาพ
🔹5. ข้อมูลจากแหล่งข่าว – มีคลิปพร้อมเสียงสนทนาของทหารกัมพูชาที่กำลังเก็บและเคลื่อนย้ายทุ่นระเบิด PMN-2 เพื่อไปวางในพื้นที่ใหม่
🔹6. ท่าทีในเวที GBC – กัมพูชาไม่ยอมรับข้อเสนอของไทยในการร่วมกันเก็บกู้ทุ่นระเบิด ทั้งที่กัมพูชามีภาพลักษณ์ในสายตานานาชาติว่าเป็นประเทศต่อต้านการใช้ทุ่นระเบิด และได้รับทุนสนับสนุนจำนวนมากในแต่ละปี
🔹7. การเก็บกู้ในพื้นที่เสี่ยงแล้วเสร็จ – TMAC เคยเก็บกู้ทุ่นระเบิดตกค้างที่ช่องบกและช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เสร็จสิ้นเมื่อปี ค.ศ.2019 จำนวน 1,300 ลูก และไม่พบว่ามีทุ่นระเบิดชนิด PMN-2
🔹8. การไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ – TMAC ระบุว่าฝ่ายกัมพูชามักไม่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในหลายพื้นที่ใกล้แนวเส้นเขตแดน ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สะท้อนถึงความไม่โปร่งใสของฝ่ายกัมพูชา
▫️ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด จัดการประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC ) ร่วมกันระหว่าง ไทย -กัมพูชา เป็นไปตามกรอบ GBC เน้นย้ำ ประเทศไทย มุ่งไปสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ตามกติกาสากล และผลักดันข้อเสนอเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและปราบปรามสแกมเมอร์
▫️รองโฆษกกองทัพเรือ กล่าวว่า พลเรือโท อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด และ พลตรี อุย เฮียง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 3 ของกองทัพบก กัมพูชา ตลอดจนคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ของทั้งสองฝ่ายได้จัดให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย -กัมพูชา สมัยวิสามัญ (Regional Border Committee ) หรือ RBC ณ ประเทศไทย ที่บ้านทะเลภูรีสอร์ท อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เพื่อร่วมกันหารือ ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อความสงบเรียบร้อยในพื้นที่และการดำเนินชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศด้วยสันติวิธี และได้ลงนามใน ”บันทึกความตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาครับ(RBC) สมัยวิสามัญระหว่าง กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ราชอาณาจักรไทย กับภูมิภาคที่ 3 ราชอาณาจักรกัมพูชา วันที่ 16 สิงหาคม 2568 ณ จังหวัดตราด ประเทศไทย“
ฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อความปลอดภัยชายแดน และร่วมปราบปรามสแกมเมอร์ แต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือหรือการตอบรับจากกัมพูชา โดยไทยยังคงหวังว่ากัมพูชาจะแสดงความจริงใจในการสนับสนุนทั้งสองภารกิจในการประชุมครั้งต่อไป
📊 สรุปสถานการณ์ผู้ได้รับผลกระทบ (ยอดสะสมถึงวันที่ 16 สิงหาคม 2568)
1. พลเรือน
• เสียชีวิตทางตรง: 14 ราย
• บาดเจ็บ: 39 ราย
▶️ รวมทั้งสิ้น: 53 ราย
2. ทหาร
• เสียชีวิต: 17 นาย
• บาดเจ็บ: 269 นาย
▶️ รวมทั้งสิ้น: 286 นาย
🔺กองทัพบกร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศต้อนรับคณะ ICRC ลงพื้นที่รับทราบผลกระทบของประชาชนจากสถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
– รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อวันที่ 11–14 ส.ค. 2568 ที่ผ่านมา ทบ.ร่วมกับ กต. ให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ในภารกิจลงพื้นที่เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายของพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีของทหารกัมพูชา โดยส่วนราชการจังหวัดเป็นผู้ให้ข้อมูล รวมถึงการเข้าสัมภาษณ์ประชาชนที่ได้รับผลกระทบกับคณะฯ ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก และ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์, อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
การปฏิบัติของ ICRC ดำเนินตามหลักสากล โดยรักษาความเป็นกลาง มุ่งช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ผ่านการลงพื้นที่เก็บข้อมูลและสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 ตลอดการดำเนินการมีความร่วมมือระหว่างกองทัพบก กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และคณะ ICRC